25 ส.ค. 2554

Who R Me !?!

DSC_6143







Who R Me !?!
"ผมชื่อนัทครับ นี่คือคำตอบของคำถามแปลกๆข้างบน"
แล้ว นัท มันเป็นใครล่ะ "เป็นคนเขียนและสร้าง Blog นี้ครับ"
แล้ว เขียนและสร้างมาเพื่ออะไรล่ะ "เอออ ... เพื่อ ..อืมมม .. คงไม่ได้หวังให้ใครมาอ่านหรือชื่นชมหรอกครับ แค่เขียนเรื่องราวของตัวเองเพื่อที่จะได้กลับมาอ่าน วันนึงถ้าผมลืมตัว ตัวหนังสือเหล่านี้แหละจะเป็นพันธะสัญญาให้ผม รับรู้ว่าเมื่อก่อนผมเป็นยังไงและเป็นใคร คิดอะไรบ้าง ก้ออย่างที่ชื่อ Blog ก้อบอกอยู่แล้วว่า Shutter Diaries ก้อเหมือนเป็น Diary เล่มสองเล่มของผมแหละครับ"
อย่างงี้คนอื่นเข้ามาอ่านไม่ได้ล่ะสิเพราะเป็น Diary ของคุณ "อ่านได้สิครับ อ่านเลยอ่านเยอะๆถ้ามันทำให้เกิดประโยชน์กับใครไม่ว่าจะด้านไหนก้อตาม อ่านไปเลยครับไม่หวง ยินดีซะอีกมีคนอุตส่าห์หลงเข้ามาอ่านบทความอะไรก้อไม่รู้"
แล้วสรุปว่านัทนี่คือใคร "ผมก้อคือผม ตอนนี้อายุ29แล้ว ชอบการถ่ายรูป แต่ถ่ายไม่ค่อยเก่ง ไม่ได้จบด้านนี้มา ผมจบปริญญาโท ทางด้านบริหารมา ไม่เกี่ยวกะศิลปะเลย ไปอยู่ออสเตรเลียมาปีนิดๆ กลับมาเลยติ๊สแดรก แต่ไม่ค่อยจะมีแด๊กซ์เท่าไหร่ ชีวิตผมจริงๆเป็นคนเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งลึกๆชอบความวุ่นวาย หลักปรัชญาต่างๆในโลกที่อยู่ในหัวผมจะถูกกลั่นกรองมาเป็นหลักของตัวเอง และติ๊ต่างว่าตัวเองเป็นคนคิดเอง เพราะมันสบายใจดีดูว่าตัวเองไม่โง่ดี แต่สุดท้ายผมได้เรียนรู้ว่าตัวหนังสือไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นอะไรไปซะทุกอย่าง เช่น ตัวหนังสือบอกว่าความเศร้า เราก้อรู้จักมันในรูปแบบตัวหนังสือ เมื่อวันนึงชีวิตเดินมาพบกับความเศร้า แม่งโครตต่างเลย ในหนังสือไม่เห็นบอกเลยว่ามันต้องมีน้ำตา มีน้ำมูกด้วย แถมต้องสะอื้นอีก บางทีความเศ้ราทำให้คนหน้าบางอย่างผมกลายเป็นคนหน้าด้าน อยากจะร้องไห้ก้อร้อง ประมาณนั้น ในทางกลับกัน ความสุขในหนังสือบอก ก้อคือ ความสุข แต่วันนึงเมื่อเราเจอกับความสุขเราจะรู้เลยว่า มันทำให้เรายิ้มคนเดียว หัวเราะ หรืออาจจะแสดงสีหน้าออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นแสดงว่า หนังสือ บอกเราไม่ได้ทุกอย่าง แต่!!!!ไม่ใช่ว่ามันไม่บอกอะไรเราเลย ในมุมมองของผม หนังสือถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือแล้วผ่านจินตนาการและการรับรู้ของเรา บางครั้งมันไม่สามารถอธิบายอะไรๆได้หมด บางครั้งประสบการณ์ก้อสอนเรามากกว่า แต่ใครล่ะจะไปเจอประสบการณ์แปลกๆได้ทุกวัน ตัวอย่างเช่น คุณอ่านเรื่อง Jack The Ripper (ถ้าใครไม่รู้สัก ลอง Search ใน google ดูนะครับ) คุณคิดหรอว่าชีวิตนึงคุณจะเจอเหตุการณ์เหล่านั้นง่ายๆ แล้วถ้าเจอคุณจะได้มานั่งอ่านบทความของผมตรงนี้หรอ 555"


ZzzzZ !! อ่าวจบละหรอ เล่าซะยาวเชียว แล้วทำไมถึงชอบถ่ายรูปล่ะ "นั่นสิ มันคงเพราะการถ่ายรูปมันสอดคล้องกับหลักการณ์บางอย่างของผมในชีวิตที่ผมชื่นชอบ ถ้าไอสไตน์กล่าวถึง เวลาและแสง ผมก้อจะกล่าวถึงการเก็บเวลาและแสง ประมาณนั้นมั้ง ในระบบความคิดผม ผมมองว่า ศิลปะเป็นงานที่ถ่ายทอดจากศิลปิน ผ่านการรับรู้ของเค้า แล้วถ่ายทอดผ่านเครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดินสอภู่กัน ตัวโน๊ต ฯลฯ เหมือนกันช่างภาพก้อถ่ายทอดผ่าน กล้อง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ แต่!!!!ข้อแตกต่างของมันคือ รูปภาพเป็นตัวชี้บอกถึงความจริง!!ย้ำว่าความจริง!!นะครับที่เกิดขึ้นจริง ณ. จุดเวลาหนึ่งบนจักรวาลนี้ นั่นหมายความว่า ต่อให้เวลาผ่านไปเป็นล้านๆปีความจริงอันนี้ก้อคือความจริง รูปที่เราถ่ายคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง อ่าวๆๆๆแล้วแตกต่างยังไงกับศิลปะแขนงอื่น แตกต่างครับลองคิดดู ช่างภาพถ่ายรูปจากความจริง ถ่ายทอดออกมาเป็นรูปที่เกิดจากความจริง และนั่นคือความจริง!! แต่การวาดรูป ศิลปินมองที่แบบ ผ่านสมอง ผ่านการรับรู้และถ่ายทอดผ่านภู่กันหรือดินสอ โดยสมองและจิตใจเป้นตัวกำหนดเส้นและสี สุดท้ายแม้งานที่ออกมาจะเป็นความจริงว่าแบบที่วาดนั้นมีตัวตนอยู่จริงแต่ยังไงซะก้อต้องผ่านการรับรู้ของศิลปินก่อน และถ่ายทอดโดยการวาด ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด 100% แต่ช่างภาพใช้แสงในการถ่ายทอด แสงคือธรรมชาติ และธรรมชาตินี่แหละคือสุดยอดของสัจธรรม "

โหยยย เว่อร์เกิ๊นน เอาล่ะทีนี้ก้อรู้แล้วว่านายเป็นใคร "อ่าวแล้วคนถามเป็นใครเนี่ย!??!"

Just my World

with logo

ขอต้อนรับสู่ Blog น้อยๆของผมนะครับ เป็นช่างภาพครับ แต่ขอบอกว่าไม่ใช่ Professional นะครับ
แค่สนใจและรักกับงานศิลปะ ซึ่งผมไม่เคยได้รับรู้ความสุนทรีย์จากมันเลย จนกระทั่ง ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่
ซิดนี่ย์ จากคนที่มองแต่โลกด้าน Business อยู่ๆมาเข้าใจถึงศิลปะ(เข้าใจเพียงนิดซซซ์เองนะครับ)ออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับผม กำไรขาดทุน มันมองเป็นตัวเลขได้ แต่อารมณ์ ความรู้สึกและ การสื่อออกมานี่สิมันไม่เกี่ยวข้องกับตัวเลขเลย ถ้ารูปภาพ Portrait ใน Studio มันต้องการการ ยิ้มที่มุมปาก 20% อายคอนแท๊ก50% ที่เหลืออีก 30% เป็นการโพส มันก้ออาจะง่ายขึ้นสำหรับผม
แต่บังเอิญว่าความเป็นจริงมันไม่ใช่ T T

แม้ว่าบางกรณีการถ่ายรูปสำหรับผม มันสามารถมองออกมาเป็นตัวเลขเป็นสมการได้ แต่สุดท้ายหัวใจของมันอยู่ที่ หัวใจของเราครับ ไม่ใช่สมอง งานที่สื่อออกมาจากใจ คืองานที่ดีครับ แล้วก้อเป็นงานที่ยากด้วย งานระดับสุดยอดทั้งหลายของโลก เป็นงานพื้นๆ แสงเงาไม่หวือหวา บางทีเป็นขาวดำแต่ อารมณ์นี่สิครับ สุดยอดมากๆ แสงเงา การควบคุมกล้อง อุปกรณ์ ใครๆก้อเรียนรู้ได้ แต่การสร้างอารมณ์และจับเอาชั่วเสี้ยววินาทีนั้นให้มาเป็นรูปภาพนั้น ไม่ใช่ว่าใครๆก้อเรียนรู้ได้นะครับ ภาษาชาวบ้านๆเค้าเรียก "โครตตตตตเทพ"

โลกศิลปะที่ผมได้เรียนรู้มา มันเป็นการเสพด้วยประสาทสัมผัสทั้งหลาย ไม่ว่ามันจะมาในแบบของ รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส สิ่งพวกนี้จะสร้างความรู้สึกให้เราแบบไม่มีเหตุผลเลยครับ อยู่ๆก้อรู้สึก และรับรู้ได้ ในตอนที่ผมอยู่ในซิดนี่ย์ได้มีโอกาสสัมผัสงานศิลปะที่ครบทุกอย่าง ทั้งนี้เพราะเมืองนี้เรียกได้ว่า ผู้คนให้ความสำคัญกับศิลปะ และความสุนทรีย์ทั้งหลาย มากกว่า กรุงเทพเมืองฟ้าเยอะเลยครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่อาหารในร้านอาหารในซิดนี่ย์ นั่นก้อถือเป็นศิลปะแล้วครับการจัดจาน สีของอาหาร ส่วนผสม ทุกอย่างมีความสำคัญหมดและถูก Present ออกมาในจานอย่างลงตัว (ยกเว้นรสชาติครับ เพราะบางร้านรสชาติน้องหมาไม่ทาน แต่คนกลับเยอะ บางร้านครับบางร้าน) และที่สำคัญ คนที่นั่นให้คุณค่ากับศิลปะและตีค่ามันด้วยตัวเงินที่สมเหตุสมผล แม้ว่าศิลปินต่างๆที่อาร์ตๆ หรือ ติสแดกส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนเรื่องเงิน แต่สำหรับมุมมองของผมแล้ว เงิน ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำหรับการพัฒนา ไม่มีเงินก้อซื้อกล้องไม่ได้ ซื้อหนังสืออ่านไม่ได้ ซื้ออะไรอีกหลายๆอย่างไม่ได้ สุดท้ายก้อต้องไปทำงานอย่างอื่น ถูกไหมๆ

ผมเจออะไรๆที่แตกต่างพอสมควรซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ดี และเป็นการเริ่มต้นการได้รู้จักศิลปในอีกมุมมองหนึ่ง
เป็นการทำให้ผมกล้ากดชัตเตอร์ด้วยความภูมิใจว่ามันสามารถเลี้ยงปากท้องผมได้บ้าง อย่างน้อยก้อมากกว่าอยู่เมืองไทย เพราะผมไม่ใช่ระดับโครตเทพ ที่อยู่เมืองไทยแล้วหาเงินจากการถ่ายรูปได้เยอะๆ
และสุดท้ายพอเวลาผ่านไป ผมพบว่า "ผมรักมันว่ะ""โครตมีความสุขเลย"
ผมเริ่มที่จะตอบคำถามที่ผมสงสัยมานานให้กับตัวเองได้บ้างแล้วว่า มือผม มีไว้เพื่ออะไร มีไว้ทำอะไร


PS.มีคำถามไหมครับว่า "ผมนี่มันใครวะ"

What da Art !!??!!


Fashion for Glory Land


Atom08
เมื่อก่อนตัวผมคิดเสมอว่าการจะเก่งการถ่ายรูปหรือการจะเก่งศิลปะ ต้องขยันฝึกฝนและทำความเข้าใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆๆๆๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วศิลปะ แตกต่างกับการกีฬา การกีฬาจะเก่งได้ต้องเกิดจากการฝึกฝน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อนำมาซึ่งชัยชนะ แต่ศิลปะไม่ได้ต้องการชัยชนะ
ชัยชนะไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพาะก่อนจะเกิดชัยชนะผู้นั้นต้องฝึกฝน อดทน และเจอสิ่งต่างๆมากมาย รวมถึงความพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้ก้อสอนอะไรคนเราอีกมากมายเช่นกัน

กลับมาที่ศิลปะ ศิลปะไม่ได้ต้องการชัยชนะหากแต่ศิลปะเป็นการให้ ให้ความสุขแก่ผู้พบเห็นเป็นการสร้างความสุขแก่ผู้สร้างและผู้ที่ได้รับ
การจะเก่งในงานศิลปะไม่ใช่เกิดจากการฝึกฝนหรือฝึกซ้อมเท่านั้น สิ่งสำคัญในการสร้างงานศิลปะที่ดีคือการพัฒนาจิตใจ  จิตใจจะเป็นสิ่งที่ทำให้งานศิลปะมีคุณค่า ความลึกซึ่งของจิตใจนี่แหละเป็นตัวแปรสำคัญของงานศิลปะ เราต้องเข้าใจคุณค่าในตัวมัน เมื่อเข้าใจในสิ่งนั้น ความเก่งกาจที่เราตามหา จะกลายเป็นเพียงอัตตาที่มาขวางกั้นเรา ดังนั้นถ้าไม่มีการพัฒนาจิตใจให้เข้าใจในสิ่งต่างๆมากขึ้น อัตตาจะคุกคาม ศิลปะจะไม่ใช่ศิลปะเราจะมองข้ามสิ่งสำคัญไปมากมาย
ศิลปะไม่ใช่ว่าไม่ต้องการองค์ความรู้ หากแต่จะต้องรู้ให้ลึกว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ยังไง เวลาไหน และเลือกใช้สิ่งไหนนั่นแหละสำคัญ
ความรู้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลาและขาดไม่ได้ แต่ความรู้ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้งานศิลปะออกมาดี สวยงาม และมอบความสุขให้กับผู้อื่นได้
การเข้าใจโลก การเข้าใจผู้อื่นและการเข้าใจตนเอง ก้อเป็นเรื่องสำคัญและเป็นหนึ่งในอีกหลายๆปัจจัย ในการสร้างงานที่มีคุณค่า

25 เม.ย. 2554

Pack Shot งานลูกค้าชาวเดร์นมาร์ค

Pack Shot งานลูกค้าชาวเดร์นมาร์ค
งาน  Pack Shot ล่าสุดลูกค้าบินมาจากเดนมาร์คครับ นัดเจอกันที่สตาร์บัคสุวรรณภูมิเช้าตรู่
งานคือให้ถ่ายสินค้า ที่เกี่ยวกับเครื่องประดับ 
และให้จบภายใน 1 อาทิตย์ - -a

และที่สำคัญเป็นช่วงสงการณ์ด้วยแต่ไม่เป็นไรเพื่อลูกเมีย 555+

ได้สินค้ามาก้อลงมือถ่ายๆๆๆๆ จากนั้นก้อมาแก้ๆๆๆๆ
แล้วก้อส่งงานตัวอย่างให้เค้าดู ลูกค้าพอใจ ก้อลงมือถ่ายที่เหลือตามแนวกับรูปตัวอย่าง
ลองชมกันครับ ถ่ายคนเดียวไม่มีผู้ช่วย รีทัชเอง ขายงานเอง  ไม่ใช้ตัวแสดงแทนเลยครับ Set นี้ 
เพราะผู้ช่วยทั้งหลายไปเล่นน้ำกับสาวๆกันหมด (แอบเศร้า)
ก้อได้รูปมาดังนี้ครับ

IMG_4453


Untitled-7

Untitled-4

Untitled-2

Untitled-8






แอด facebook มาคุยกันหรือติดต่องานได้นะครับ
http://www.facebook.com/nutsunday




E-Mail [สอบถามขอราคาการทำงาน] : Louvres-studio@hotmail.com 
E-Mail [สนใจถ่ายแฟชั่นทำ Port ต่างๆ] : walking_on_sunday@hotmail.com








fan page (like fan page ด้วยนะครับ ^^ )


โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ


Ps. กดแชร์ข้างล่างด้วยก้อดีนะครับ





3 เม.ย. 2554

ถ่าย Portrait แนวเกาหลี(ใต้)ที่สวนรถไฟ






ทริปนี้จัดขึ้นมาเนื่องจากว่าไม่ได้ถ่ายเล่นมา 1 ปีเต็มๆ เลย want อยากถ่ายครับก้อเลยชวนเพื่อนๆในเวปและใน facebook มาถ่ายกัน นางแบบคือน้องกวางและน้องนุ๊กนิ๊กครับ 


รูปด้านล่างคือ น้องทั้ง2ท่านครับ

ส่วนช่างภาพมีผม(นัท) คุณเอก น้องดล และน้องแซมครับ และบังเอิญว่าทุกท่านใช้ Canon กันหมด เลยเกิดการสวิงกิ้งเลนส์กันอย่างสนุกสนานในทริปนี้ครับ


ทริปนี้เริ่มด้วยการเช่าจักรยานครับ ผมเลยสนุกเลยปั่นอย่างเมามันจนลืมถ่ายภาพ 555 เพราะไม่ได้ปั่นมานานจนน้องๆนางแบบเค้างงว่าพี่นัทเค้ารีบปั่นไปไหน


เจอมุมเหมาะก้อจอดถ่ายภาพ เป็นประสบการณ์ครั้งแรกเลยครับที่ปั่นจักรยานถ่ายภาพ 
รูปด้านล่างเป็นรูปเดียวที่มีจักรยาน เป็นจักรยานของ"คุณลุง" ครับ มีชื่อติดไว้ด้วย



เพื่อนๆในทริปนี้ก้อน่ารักกันทุกคนครับ ปั่นไกลแค่ไหนก้อไม่บ่น ไม่ค่อยมีภาพเบื้องหลังมีนิดหน่อยเอามาให้ชมกันครับ




จะเห็นได้จากรูปว่ามีการก๊อปมุมกันเกิดขึ้นครับ คุณเอกถ่ายอยู่น้องดลเห็นว่ามุมสวยจัดการก๊อปเลยครับ 
ทำให้คุณเอกต้องเปลี่ยนมุมกระทันหัน (แซวเล่นน้าคราบบบ)




รูปน้องกวางครับ ในรูปที่ส่งโปรไฟล์มากับตัวจริงหน้าไม่เหมือนกันตัวจริงสวยกว่าเยอะ แอบถามๆดูเลยรู้ว่าไปทำจมูกมาใหม่ สวยปิ๊งเลยทีนี้ รูปแนวๆเกาหลีๆที่ถ่ายไม่ค่อยจะเป็นก้อถ่ายมาได้ ขอบคุณน้องแซมที่ให้ยืมเลนส์นะครับ ใสปิ๊งเลยขอบคุณจมูกน้องกวางที่ทำให้ดูเป็นเกาหลีขึ้น 30% นะครับ


พอตกเย็นก้อเริ่มหมดแรงกันแล้วเพราะนอกจากต้องถ่ายรูปต้องมาปั่นจักรยานอีก แรกๆมันหลังๆชักแย่ set สุดท้ายเลยถ่ายด้วยการเล่นแฟรซ"ไม่แยก" เพราะไม่มีคนถือให้ เลยติดหัวกล้องไปซะเกรงใจคนอื่นที่กดรูปอยู่ ถึงตรงนี้น้องแซมขอบายแล้วบอกไม่ไหวละพี่ พี่อยากจะบอกว่าพี่ก้อพอๆกัน แต่ศักดิ์ศรีคนจัดทริปค้ำคออยู่เหนื่อยไม่ได้ 555

ด้านล่างรูปเซตที่ใช้แฟรซไม่แยกครับ

สรุปว่าจบทริปนี้แล้วแอบปวดขา T T สงสัยแก่แล้วจริงๆ 
ยังไงขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมทริปนี้ และน้องนางแบบทั้ง 2 ท่านด้วยนะครับ 

ชมอัลบั้มเต็มใน facebook ครับ 

หรือ multiply
http://nutsunday.multiply.com


แอด facebook มาคุยกันได้ครับ
http://www.facebook.com/nutsunday







fan page (like fan page ด้วยนะครับ ^^ )


โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ


Ps. กดแชร์ข้างล่างด้วยก้อดีนะครับ





Fashion ที่ ร้านมะละกอ (Papaya)




แฟชั่น set นี้ถ่ายที่ร้านปาปาย่าครับ มุมเยอะมากๆๆๆๆๆ แต่เวลาค่อนข้างจำกัด แอบกดดันเล็กน้อย แต่ร้านเค้าสวยจริงๆ แนวเก่าๆ ของเยอะๆ แถมมีหลายชั้นอีกตะหากครับ 


รูปที่ออกมาเ็นแนววินเทจ เพราะเข้ากับสถานที่มากๆลองดูรูปสถานที่กันคร่าวๆครับ

credit : www.121easy.com

credit : คุณพระจันทร์หลังเมฆดำ pantip board

พอดีไม่ได้ถ่ายสถานที่มาเนื่องจากเวลามีน้อยครับ เลยขอยืมรูปจาก 2 แห่งนี้มานะครับ ขอบคุณไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ


เมื่อเลือกตำแหน่งที่จะถ่ายได้แล้วก้อเริ่มจัดไฟแบบ ง่ายๆ(ง่ายโครตๆจัดเร็วมาก) จากนั้นพี่กานต์ kaitom ก้อเริ่มติวน้องแนทเรื่องการโพสครับ พี่เค้าทำงานอย่างมืออาชีพจริงๆ 


เห็นไฟที่แหล่มๆมามุมภาพไหมครับ นั่นแหละไฟเทพตัวเดียว ส่วนสีเหลืองๆอันนี้สำคัญกว่าไฟอีกครับ พัดลมครับ เพราะร้อนมาก ที่สำคัญหนักกว่า soft box เยอะมากๆ ใช้เวลายกและ set นานกว่าไฟอีกครับ 555


เมื่อทุกอย่างพร้อมก้อลุยครับ เพราะนั่งนานแล้วเหงื่อแตกต้องแต่งหน้าใหม่
รูปที่ผมได้จากเก้าอี้อันนี้ก้อมีหลายรูปครับ อย่างรูปข้างล่างนี้


ไฟดวงเดียวก้อสวยได้ หมายถึงนางแบบนะครับไม่ใช่คนถ่ายเก่ง วันนั้นมีเวลา 2 ชม.ในการถ่ายก้อเลยได้มุมละนิดๆหน่อยๆ ผลัดกัน 2 คนคนนึงถ่ายอีกคนคุมพัดลม ไฟช่างมันเพราะร้อนครับ


จากนั้นก้อเปลี่ยนมุม ไม่ไกลมากนั่นคือเก้าอี้ตัวข้างๆ แต่ที่ลำบากคือยกพัดลมครับ มันหนักมากๆๆๆๆ 
ส่วนไฟเราก้อเปลี่ยนมุมวางนิดหน่อยรูปจากเก้าอี้อีกตัวครับ


กว่าจะได้รูปมาช่างภาพเหงื่อแตกมากมาย แต่ก้อคุ้มมากครับ น้องแนทก้อวิญญาณนางแบบมาก ร้อนแค่ไหนยังสามารถทำหน้าเย็นฉ่ำได้เนียนจริงๆครับ สุดยอด เอาดีทางนี้ได้เลย


เอาเป็นว่าเบื้องหลัง set แรกพอเท่านี้ก่อนละกันครับ 
ขอบคุณน้องแนทกับพี่กานต์มากครับที่ยอมมาทนร้อนด้วยกัน 





multiply


แอด facebook มาคุยกันได้ครับ


fan page ครับ ( กดlike fan page ด้วยนะครับ ^^ )


ps. กดแชร์ข้างล่างด้วยก้อดีนะครับ ขอบคุณคราบบบบ 

14 ก.พ. 2554

เปลี่ยนรูปเสียให้เป็นรูปสวย

รูปเสีย ใครว่าไม่สำคัญ

บางครั้งการถ่ายรูปเราอาจจะกดชัดเตอร์ไป 100 รูปแต่รูปที่ใช้ได้จริงๆอาจจะมีแค่ไม่ถึงสิบรูปด้วยซ้ำ ส่วนรูปที่เหลือ คือ รูปเสีย

แล้วคุณใช้ปัจจัยอะไรในการพิจารณาว่ารูปนั้นเสียล่ะ มืดไป สว่างไป composition  ไม่ดี อารมณ์ไม่ได้ สุดแล้วแต่

ในการถ่ายรูป Portrait สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Expression (การแสดงออกทางสีหน้า) ซึ่งนั่นก้อคืออารมณ์นั่นเแอง

สมัยที่เป็น ดิจิตอลนี้ บางครั้งถ้าบันทึกภาพด้วยไฟล์ RAW แม้ว่ารูปจะมืดไป สว่างไป แต่ในบางกรณืก้อสามารถแก้ไขได้

ยิ่งสมันนี้กล้อง ดิจิตอลรุ่นใหญ่ๆ เน้นนะครับว่ารุ่นใหญ่จริงๆอย่างพวก Hasselblad ที่เป็นดิจิตอล เช่น H4D-60 ตามโฆษณาที่ได้อ่านมาสามารถบันทึกภาพ

ที่มี Dynamic Range ถึง 12 f-stop โอยยย อย่างนี้ไม่มีรูปที่เสียเรื่องแสงแน่ แถมปรับโฟกัสจากในโปรแกรมได้อีกกรณีหลุดโฟกัส



ย้อนกลับเข้าเรื่องดีกว่าครับ สำหรับผมรูป Portrait ที่เสียคือรูปที่เกินเยียวยาจริงๆ (กรณีนี้ผมไม่ได้พูดถึงรูปที่ถ่ายรัวมาหลายๆ shot แล้วเลือกรูปที่ดีที่สุดนะครับพวกนั้ันผมไม่นับเป็นรูปเสีย)  ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยคือรูปที่ไม่มี Expression  ที่ดีในกรณีนี้ผมได้ลองเอารูปเสียแต่คิดว่ารูปนี้มี Expression ที่ดี มาแก้ไขให้เป็นรูปที่ใช้งานได้ครับ

ดูจากตัวอย่างครับ นี่เป็นรูปที่ไม่ได้ตั้งใจถ่ายแค่ลองกดเล่นๆไม่ได้คำนวนองค์ประกอบไม่ได้คำนวนแสง ไม่ได้ไรเลย มั่วครับ แต่พอเอารูปมาดูปรากฏว่า ผมชอบสีหน้าของแบบในรูปนี้



ผมว่าสีหน้าใช้ได้แล้วบังเอิญว่ากล้องผมเซตค่าเป็นำไฟล์ RAW ตลอด เข้าทางครับ ลงมือแก้เลยดีกว่าก่อนอื่นต้องวางแผนก่อว่าภาพที่ออกมาในขั้นต้นควรเป็นแบบไหน

ในกรณีนี้ผมแยกออกเป็น4 ประเด็นใหญ่ๆในการแก้ไขนะครับ



สีแดง คือ การวาง Crop Area เพื่อสร้าง composition  ใหม่ให้ภาพ

สีดำ คือ การ Rotate รูปใหม่เพราะรูปมันเอียงครับ

สี ขาว คือ การใส่ Rim Light เพื่อจะเน้นประการผม ในกรณีนี้สัดส่วนของแสงจากข้างหลังจะใกล้เคียงกับตัวแบบ ไม่มี Rim Light แน่นอนเลยต้องสร้างเองครับ

ผมเรียกว่า Fake Rim Light ละกัน

สีเหลือง คือ การใส่ key Light ให้กับแบบ เพื่อให้แบบสว่างขึ้นเพราะในรูปแบบค่อนข้างมืดไปหน่อยครับ

ลงมือครับ รูปที่ออกมาคือ



รูปที่ออกมาเป็นอย่างนี้ครับ ผมครอปให้เกือบเป็นสี่เหลี่ยมจัตตุรัส แต่ยังไม่จบครับยังเหลืออีกเยอะ นั่นคือ การรีทัชหน้า การสร้าง  Dept  ให้กับภาพ และโทรของภาพครับ

รีทัชหน้าก้อไม่มีอะไร แค่ใส่ซอฟท์ แต่โดยส่วนตัวผมไม่ชอบให้รูปสูญเสียความคมเลย Selection เฉพาะส่วนผิว ทำให้ภาพที่ออกมาคา ปาก และ ผม ยังคมอยู่ครับ

การสร้าง  Dept ก้อคือการใส่  Blur ในส่วนที่ไม่ต้องการให้เด่น เช่น ช่วงแขนและตัวด้านล่างๆของภาพ ขอบของเส้นผมบางแห่ง ประมาณนี้ครับเพื่อให้ภาพมีมิติขึ้นมาบ้าง

สุดท้ายเรื่องของโทนภาพ อันนี้แล้วแต่คนชอบครับ ต้องดูว่าช่างภาพอยากจะสื่อในโทนไหน บางคนชอบโทนสีแดงเน้นความอบอุ่น บางคนเอาดิบๆเลยไม่ต้องมีโทน

อันนี้แล้วแต่ครับ ส่วนผมใส่โทนสีเขียวให้ดูสบายตาและดูออกแนวๆ vintage นิดๆ จะออกมาอย่างนี้ครับ



สรุปจากภาพที่คิดว่าเสียลองเอามาทำใหม่ก้อจะได้ภาพที่โอเคกว่าเดิมครับ
ไว้คราวหน้าจะมาแนะนำวิธีใส่แสงในแบบต่างๆนะครับ

Canon 600D & 1100D New Coming

ในที่สุด Canon ก้อเปิดตัวกล้องรุ่นเล็กอย่าง 600D และ กล้องรุ่นเล็กมากอย่าง 1100D 
โดยที่ 600D มาพร้อมความละเอียด 18ล้านพิกเซล (5184 x 3456)
และ 1100D มาที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล(4272 x 2848 )
(600D Pixel เท่ากับ 550D เลยแฮะ)
มาดูราคาดีกว่าครับ
 600Dbody ราคาอยู่ที่799$
1100D+kit ราคาอยู่ที่ 599$
ลองคูณออกมาดูแล้ว 600D ราคาพอๆกับ 60D ของหิ้วบ้านเราเลย - - a





สำหรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจาก 550D ก้อจะมี Ratio ของไฟล์ภาพแบบแปลกๆเช่น
1:1 , 16:9 ซึ่งน่าจะทำให้ได้ภาพขนาดแปลกๆน่าสนใจดีครับ
ISO สูงสุดที่ 6400 boots ได้ถึง 12800
ส่วน Custom Function กลับมีน้อยกว่า 550D อีกครับ คือมีแค่ 11 Customs และ 34 Setting
(550D มี12 Customs และ 36 Setting )
ออกมาแบบ งง งง ว่ามันมีอะไรดี เอาเป็นว่า มันอาจจะมีดีก้อได้ครับแต่ผมยังอ่านรีวิวไม่หมด


สำหรับ 1100D มากับ Digi4 เหมือน600D เลย
หน้าจอ 2.7"  230,000 pixels
10 Customs และ 32 Setting
รองรับภาษาไทยเช่นเดียวกับ 600D
(อยากลองใช้กล้องภาษาไทยมั่งจัง T^T)
ส่วน ISO สูงสุดอยู่ที่ 6400 ครับ



จากที่ลองๆดูจาก  Spec แล้วก้อยังไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไหร่นะครับ 
ตอนแรกคิดว่า น่าจะมีอะไรแปลกๆมากกว่านี้ เช่น ISO ซัก 256,000 อัพ
หรือ จอเป็นระบบสัมผัส มีระบบถ่ายภาพด้วยเสียง หรือไม่ก้อถ่ายเสร็จอัพ facebook ได้เลย ไรงี้ สุดท้ายมาแนวเดิมๆคงต้องรอลุ้นว่าเมื่อไหร่ 1DsMK IV จะออก
เพราะกล้องตัวใหญ่ๆออกเมื่อไหร่เทคโนโลยี่มักจะก้าวกระโดดไปลงที่กล้องตัวนั้นๆหมดแล้ว
รุ่นเล็กๆที่ตามมาก้อพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย 
พอพูดถึง MkIV เลยลองแว่บๆไปดูเวปเมืองนอก เค้าบอกว่าน่าจะ 32mpix อัพเลยครับและ
จะมาพร้อม 24-70 2.8L IS ด้วย อ่าาา จะเท่าไหร่เนี่ยเอาเป็นว่าออกมาก้อไม่ได้ใช้ครับ 
ไฟล์ใหญ่ไปกล้องก้อหนักไป(เป็นข้ออ้างจริงๆไม่มีตัง T T)
เอาไว้มีข่าวอะไรใหม่ๆจะมาอัพให้ฟังเอ้ยให้อ่านละกันครับ 



ข้อมูลและรูปจาก Dpreview

Pre Wedding ที่ pullman

งานถ่าย Pre Wedding ที่ pullman ครับ งานนี้คู่บ่าวสาวเตรียมตัวมาดีครับ เป็น job ที่สนุกสนานมากครับ สถานที่ไม่กว้างมาก ทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้น แสงค่อนข้างเรียบง่ายครับ มีบางมุม ที่แสงน่าสนใจเช่นมุมที่ติดกับกระจก


IMG_7190v2


งานนี้มี มอลลี่เป็น Make up ให้ มีผู้ช่วยแค่1คนและ stylist หน้าหวานอีก1ครับ เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่มีอาการเขินเลยครับ ช่างภาพเขินแทน 555 รูปนี้ถ่ายตรงริมกระจกเพื่อเล่นกับแสง กลางล๊อบบี้ โรงแรมเลยครับดีว่าเป็นวันธรรมดา แขกเลยไม่เยอะ ช่างภาพเลยไม่มีอาการเขินเท่าไหร่

*-*

ลองดูสีหน้าของคู่บ่าวสาวสิครับ หน้าเป็นมาก ทำให้ถ่ายง่ายมากขึ้น เพราะทั้งคู่เป้นคนสนุกอยู่แล้วเลยกล่อมง่ายและทำให้คุ้นเคยกันง่ายครับ

ภาพที่ได้ครับ จะเน้นแสงที่แตกต่างที่ผ่านกระจกบานใหญ่เข้ามา ยิ่งแหล่งกำเนิดแสงใหญ่แสงยิ่งน่าสนใจครับ เล่นอยู่มุมนี้ซะนาน เพราะชอบแสงครับ

อันนี้เจ๊มอลลี่ลงทุนโพสเองเลยครับ สงสัยตากล้องบอกท่าไม่ได้ดังใจเลยจัดการแทรกกลางโพสโชว์เลย ดูหน้าคุณตั้นเจ้าบ่าวขำใหญ่เลยครับ จริงๆช่างภาพก้อแอบขำอยู่หลังกล้องครับ 5555

อันนี้เป็นรูปหลังจากที่บอกท่าโพสเสร็จครับ ไม่ธรรมดาเลยครับคู่นี้ พอถ่ายด้านในเสร็จออกมาต่อข้างนอกครับ ฟ้าค่อนข้างok แต่แสงมากเกินไปเลยต้องมาแก้ไขใน Photoshop สักหน่อย

ใช้ reflex เข้าข้างใต้เพื่อลบเงาจากดวงอาทิตย์ และทำให้สัดส่วนแสงระหว่างตัวแบบและแสง Ambience ใกล้เคียงกันมากขึ้น (แม้ว่ามันจะไม่พอก้อตาม)แล้วที่เหลือ มาปรับแต่งเอาอีกครั้งครับ

ก้อจะออกมาตามนี้ครับใส่โทรซีเปียที่แบบนิดๆ เพื่อลบคอนทราสของแดดที่จัดมาก จริงๆแล้วไม่ควรถ่ายตอนเที่ยงแต่เมื่อเลือกไม่ได้ก้อต้องพยายามลบข้อบกพร่องของภาพที่ถ่ายตอนเที่ยงให้ได้มากที่สุดครับ

งานนี้ขอขอบคุณ คุณอัง คุณตั้น คู่บ่าวสาว ขอบคุณ make up มอลลี่มากๆ ขอบคุณหวานและน้องปุ้ย stlyist และ ผู้ช่วยครับ

9 Temples in BKK

9 Temples in BKK for Being Bangkok Magazine

วัดระฆัง09-2 copy
ไปถ่ายงานปกของหนังสือ Being Bangkok มาครับ เป็นฉบับเดือน Dec(ไม่แน่ใจว่าเดือนธันวารึป่าว)งานนี้ต้องไปถ่ายวัด9วัดใน กทม. โดยมีเวลาแค่2วันก่อนส่งงาน

จับกล้องแล้วก้อลุยเลยครับ วัดทั้ง9วัดที่จะต้องไปถ่ายคือ วัดพระแก้ว , วัดพระเชนตุพล ,วัดระฆัง ,วัดอรุณฯ , วัดสุทัศ ,วัดสะเกศ , วัดบวรฯ  , วัดชนะสงครามและวัดกลัยาณมิตร


และด้วยเวลาที่จำกัด ไม่ได้โปรเซสรูปแน่นอน โชคดีที่งานนี้มี Cokin ที่ซื้อติดตัวกลับมาจากซิดนี่ย์ น่าจะช่วยได้เยอะ Cokin ที่ว่าเป็นยี่ห้อฟิลเตอร์ครับรุ่นที่ผมใช้เป็นรุ่น "Z Pro sreies" ประกอบด้วย GND2 Tabacco และ Blue แบบครึ่งซีก และมี GND8 อีกตัวหนึ่ง จริงๆฟิลเตอร์แผ่นของจีนก้อไม่เลวครับ ราคาย่อมเยาว์ดีแต่การไล่โทนสียังสู้ของ Cokin ไม่ได้ ถ้าลองเปรียบเทียบกันตรงๆจะเห็นครับนอกจากนั้นแล้วฟิลเตอร์ยังช่วยให้เห็นแสงจากพระอาทิตย์มากขึ้นคือเส้นเเสงจากดวงอาทิตย์จะชัดขึ้นโดยไม่ทำให้แบบมืดลง


วันแรกไปไม่ครบ 9 วัดครับเพราะแต่ละที่นอกจากเวลาเดินทางแล้ว เวลาถ่ายรูปก้อเป็นเรื่องที่ต้องคำนวน นอกจากนั้นยังต้องคำนวนเรื่องแสงว่าจะหมดกี่โมง เป็นงานที่เร่งมากครับทำให้การทำงานค่อนข้างจำกัดและเหนื่อยมาก แต่ก้อถือเป็นงานที่สนุกมากงานหนึ่งเลย การที่ได้ไปวัดทั้ง 9 วัดทำให้เห็นเลยว่าศิลปะของไทยนั้นไม่แพ้ชาติใดในโลกจริงๆ เพราะแต่ละวัดนั้นสวยงามมากๆ บอกตามตรงว่าไม่เคยมีโอกาสได้ไปครบ 9 วัดเลยตั้งแต่เกิดมา และสิ่งที่เห็นทำให้รู้สึกว่า แต่ละสถานที่เป็นสถานที่ ที่ยิ่งใหญ่วิจิตร ตระการตามากๆ ไม่แปลกเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวถึงชอบมาเมืองไทย งานศิลปะในวัดแต่ละวัดมีเอกลักษณ์โดดเด่น และสวยงามเป็นอย่างมากๆๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงจะดีครับ และคิดว่าต้องกลับไปถ่ายอีกอย่างแน่นอน


จากการทำงานทั้งสองวันพบว่า เสียน้ำในร่างกายอย่างรุนแรงครับ 555 เพราะแดดแรงมาก และอากาศก้อร้อนมาก ไม่น่าเชื่อว่าเป็นหน้าหนาว โชคดีที่ท้องฟ้าสวยถ้าฟ้าเป็นสีเดียวและไม่มีเมฆเลยคิดว่าภาพที่ได้มาคงแย่กว่านี้เยอะครับ

มาพูดถึงการถ่ายกันดีกว่า อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงเลยในการถ่ายคือเรื่องของการวางองค์ประกอบ ยากมากครับสำหรับผม ขอผ่านไปเลย ดูมุม มุมไหนสวยถ่ายๆๆๆ

ต่อมาคือเรื่องของความคมชัดพยายามปรับ f ที่คมที่สุดของเลนส์ เพราะงานแบบนี้ไม่ต้องการชัดตื้นเลย ปัจจัยในเรื่องของf จึงอยู่ที่ความคมชัดมากกว่า ลองดูครับเลนส์แต่ละตัวไม่เหมือนกัน ต้องรู้คาแรกเตอร์ของเลนส์ที่เราใช้ด้วยนะครับ

สิ่งต่อมาคือแสงครับ จะถ่ายมุมไหนให้แสงเหมาะสม บางทีในกรณีนี้อาจจะยากในบางสถานที่เพราะว่าวันที่ไปคือวันเสาร์คนค่อนข้างเยอะจนแทบจะเบียดเลย การหามุมที่แสงเหมาะสมอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่อย่าลืมครับว่าแม้เสียเวลาแต่ก้อคุ้มครับกับงานที่ได้มาเพราะการถ่ายรูปคือการเล่นกับแสงครับ



ยังไงถ้ามีโอกาสลองไปเปิดหนังสือ Being Bangkok ดูหน่อยละกันนะครับว่าทางผ่ายศิลปเค้าเอารูปผมไปยำเละขนาดไหน 555 อาจจะหายากหน่อยนะครับเพราะเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ มีขายเฉพาะบางร้าน ที่ไฮโซๆหน่อย บอกตามตรงผมยังหาไม่เจอเลย ได้แต่ไปขอทางบริษัทเค้ามา แล้วถ้ามีโอกาสชวนผมไปถ่ายรูปมั่งนะครับ

บริการถ่่ายภาพสินค้า

ลูฟร์สตูดิโอ
เราเป็นสตูดิโอที่ให้บริการงานถ่ายภาพทุกประเภททั้งในและนอก สถานที่
ไม่ว่าจะเป็นงานถ่ายภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์ อารหาร เครื่องดื่ม สถานที่ บ้าน โรงแรม รีสอร์ต โรงงาน สถาปัตยกรรมต่างๆและบริการถ่ายภาพงาน Event , Company Profiles , และถ่ายภาพ Stock Photo ช่างภาพติดตามตัว ช่างภาพบริษัทต่างๆ นอกจากนั้นทางเรายังมีการบริการในด้านการทำสื่อ Marketing ไม่ว่าจะเป็นการทำ Website การทำสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณาต่างๆ เรายินดีให้คำปรึกษาที่ลูฟร์สตูดิโอ< /font>


Eye Essence

packshot



ลูฟร์สตูดิโอ
รับถ่ายสินค้าและสถานที่ เพื่อนำไปทำ บัวชัวร์ ,Package ส่งเสริมการขาย ,Website โดยกรรมสิทธิ์ภาพจะเป็นของลูกค้าทันที!!


พร่้อมทั้งคุณภาพของภาพที่ใหญ่ที่สุดถึง 21ล้านพิกเซล(สามารถทำบิวบอร์ดโฆษณาขนาดใหญ่ได้สบาย) 
ในราคาเริ่มต้นที่ หลักร้อย*เท่านั้น รับรองว่าถูกกว่าสตูดิโอทั้วไปแน่นอน เราให้บริการตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่จนถึงSMEขนาดเล็ก
ที่ต้องการเพิ่มความ ได้เปรียบทางธุรกิจรวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือหรือสร้างภาพลักษณ์ให้กับ สินค้าและบริการในราคาที่หาที่ไหนไม่ได้






white
010004




ติดต่อ LOUVRES STUDIO 
Tel : 087-555-9142 (คุณนัท)
     







Print

Louvres-Studio
Contact : 087-555-9142 (Nut)


E-mail : louvresstudio@hotmail.com



official Pack Shot site CLICK
 

Labels

Site Info

Followers

Nut_Sunday Copyright © 2009 BeMagazine Blogger Template is Designed by Blogger Template
In Collaboration with fifa