25 ส.ค. 2554

Who R Me !?!

DSC_6143







Who R Me !?!
"ผมชื่อนัทครับ นี่คือคำตอบของคำถามแปลกๆข้างบน"
แล้ว นัท มันเป็นใครล่ะ "เป็นคนเขียนและสร้าง Blog นี้ครับ"
แล้ว เขียนและสร้างมาเพื่ออะไรล่ะ "เอออ ... เพื่อ ..อืมมม .. คงไม่ได้หวังให้ใครมาอ่านหรือชื่นชมหรอกครับ แค่เขียนเรื่องราวของตัวเองเพื่อที่จะได้กลับมาอ่าน วันนึงถ้าผมลืมตัว ตัวหนังสือเหล่านี้แหละจะเป็นพันธะสัญญาให้ผม รับรู้ว่าเมื่อก่อนผมเป็นยังไงและเป็นใคร คิดอะไรบ้าง ก้ออย่างที่ชื่อ Blog ก้อบอกอยู่แล้วว่า Shutter Diaries ก้อเหมือนเป็น Diary เล่มสองเล่มของผมแหละครับ"
อย่างงี้คนอื่นเข้ามาอ่านไม่ได้ล่ะสิเพราะเป็น Diary ของคุณ "อ่านได้สิครับ อ่านเลยอ่านเยอะๆถ้ามันทำให้เกิดประโยชน์กับใครไม่ว่าจะด้านไหนก้อตาม อ่านไปเลยครับไม่หวง ยินดีซะอีกมีคนอุตส่าห์หลงเข้ามาอ่านบทความอะไรก้อไม่รู้"
แล้วสรุปว่านัทนี่คือใคร "ผมก้อคือผม ตอนนี้อายุ29แล้ว ชอบการถ่ายรูป แต่ถ่ายไม่ค่อยเก่ง ไม่ได้จบด้านนี้มา ผมจบปริญญาโท ทางด้านบริหารมา ไม่เกี่ยวกะศิลปะเลย ไปอยู่ออสเตรเลียมาปีนิดๆ กลับมาเลยติ๊สแดรก แต่ไม่ค่อยจะมีแด๊กซ์เท่าไหร่ ชีวิตผมจริงๆเป็นคนเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งลึกๆชอบความวุ่นวาย หลักปรัชญาต่างๆในโลกที่อยู่ในหัวผมจะถูกกลั่นกรองมาเป็นหลักของตัวเอง และติ๊ต่างว่าตัวเองเป็นคนคิดเอง เพราะมันสบายใจดีดูว่าตัวเองไม่โง่ดี แต่สุดท้ายผมได้เรียนรู้ว่าตัวหนังสือไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นอะไรไปซะทุกอย่าง เช่น ตัวหนังสือบอกว่าความเศร้า เราก้อรู้จักมันในรูปแบบตัวหนังสือ เมื่อวันนึงชีวิตเดินมาพบกับความเศร้า แม่งโครตต่างเลย ในหนังสือไม่เห็นบอกเลยว่ามันต้องมีน้ำตา มีน้ำมูกด้วย แถมต้องสะอื้นอีก บางทีความเศ้ราทำให้คนหน้าบางอย่างผมกลายเป็นคนหน้าด้าน อยากจะร้องไห้ก้อร้อง ประมาณนั้น ในทางกลับกัน ความสุขในหนังสือบอก ก้อคือ ความสุข แต่วันนึงเมื่อเราเจอกับความสุขเราจะรู้เลยว่า มันทำให้เรายิ้มคนเดียว หัวเราะ หรืออาจจะแสดงสีหน้าออกมาโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นแสดงว่า หนังสือ บอกเราไม่ได้ทุกอย่าง แต่!!!!ไม่ใช่ว่ามันไม่บอกอะไรเราเลย ในมุมมองของผม หนังสือถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือแล้วผ่านจินตนาการและการรับรู้ของเรา บางครั้งมันไม่สามารถอธิบายอะไรๆได้หมด บางครั้งประสบการณ์ก้อสอนเรามากกว่า แต่ใครล่ะจะไปเจอประสบการณ์แปลกๆได้ทุกวัน ตัวอย่างเช่น คุณอ่านเรื่อง Jack The Ripper (ถ้าใครไม่รู้สัก ลอง Search ใน google ดูนะครับ) คุณคิดหรอว่าชีวิตนึงคุณจะเจอเหตุการณ์เหล่านั้นง่ายๆ แล้วถ้าเจอคุณจะได้มานั่งอ่านบทความของผมตรงนี้หรอ 555"


ZzzzZ !! อ่าวจบละหรอ เล่าซะยาวเชียว แล้วทำไมถึงชอบถ่ายรูปล่ะ "นั่นสิ มันคงเพราะการถ่ายรูปมันสอดคล้องกับหลักการณ์บางอย่างของผมในชีวิตที่ผมชื่นชอบ ถ้าไอสไตน์กล่าวถึง เวลาและแสง ผมก้อจะกล่าวถึงการเก็บเวลาและแสง ประมาณนั้นมั้ง ในระบบความคิดผม ผมมองว่า ศิลปะเป็นงานที่ถ่ายทอดจากศิลปิน ผ่านการรับรู้ของเค้า แล้วถ่ายทอดผ่านเครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดินสอภู่กัน ตัวโน๊ต ฯลฯ เหมือนกันช่างภาพก้อถ่ายทอดผ่าน กล้อง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ แต่!!!!ข้อแตกต่างของมันคือ รูปภาพเป็นตัวชี้บอกถึงความจริง!!ย้ำว่าความจริง!!นะครับที่เกิดขึ้นจริง ณ. จุดเวลาหนึ่งบนจักรวาลนี้ นั่นหมายความว่า ต่อให้เวลาผ่านไปเป็นล้านๆปีความจริงอันนี้ก้อคือความจริง รูปที่เราถ่ายคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง อ่าวๆๆๆแล้วแตกต่างยังไงกับศิลปะแขนงอื่น แตกต่างครับลองคิดดู ช่างภาพถ่ายรูปจากความจริง ถ่ายทอดออกมาเป็นรูปที่เกิดจากความจริง และนั่นคือความจริง!! แต่การวาดรูป ศิลปินมองที่แบบ ผ่านสมอง ผ่านการรับรู้และถ่ายทอดผ่านภู่กันหรือดินสอ โดยสมองและจิตใจเป้นตัวกำหนดเส้นและสี สุดท้ายแม้งานที่ออกมาจะเป็นความจริงว่าแบบที่วาดนั้นมีตัวตนอยู่จริงแต่ยังไงซะก้อต้องผ่านการรับรู้ของศิลปินก่อน และถ่ายทอดโดยการวาด ซึ่งมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด 100% แต่ช่างภาพใช้แสงในการถ่ายทอด แสงคือธรรมชาติ และธรรมชาตินี่แหละคือสุดยอดของสัจธรรม "

โหยยย เว่อร์เกิ๊นน เอาล่ะทีนี้ก้อรู้แล้วว่านายเป็นใคร "อ่าวแล้วคนถามเป็นใครเนี่ย!??!"

Just my World

with logo

ขอต้อนรับสู่ Blog น้อยๆของผมนะครับ เป็นช่างภาพครับ แต่ขอบอกว่าไม่ใช่ Professional นะครับ
แค่สนใจและรักกับงานศิลปะ ซึ่งผมไม่เคยได้รับรู้ความสุนทรีย์จากมันเลย จนกระทั่ง ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่
ซิดนี่ย์ จากคนที่มองแต่โลกด้าน Business อยู่ๆมาเข้าใจถึงศิลปะ(เข้าใจเพียงนิดซซซ์เองนะครับ)ออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับผม กำไรขาดทุน มันมองเป็นตัวเลขได้ แต่อารมณ์ ความรู้สึกและ การสื่อออกมานี่สิมันไม่เกี่ยวข้องกับตัวเลขเลย ถ้ารูปภาพ Portrait ใน Studio มันต้องการการ ยิ้มที่มุมปาก 20% อายคอนแท๊ก50% ที่เหลืออีก 30% เป็นการโพส มันก้ออาจะง่ายขึ้นสำหรับผม
แต่บังเอิญว่าความเป็นจริงมันไม่ใช่ T T

แม้ว่าบางกรณีการถ่ายรูปสำหรับผม มันสามารถมองออกมาเป็นตัวเลขเป็นสมการได้ แต่สุดท้ายหัวใจของมันอยู่ที่ หัวใจของเราครับ ไม่ใช่สมอง งานที่สื่อออกมาจากใจ คืองานที่ดีครับ แล้วก้อเป็นงานที่ยากด้วย งานระดับสุดยอดทั้งหลายของโลก เป็นงานพื้นๆ แสงเงาไม่หวือหวา บางทีเป็นขาวดำแต่ อารมณ์นี่สิครับ สุดยอดมากๆ แสงเงา การควบคุมกล้อง อุปกรณ์ ใครๆก้อเรียนรู้ได้ แต่การสร้างอารมณ์และจับเอาชั่วเสี้ยววินาทีนั้นให้มาเป็นรูปภาพนั้น ไม่ใช่ว่าใครๆก้อเรียนรู้ได้นะครับ ภาษาชาวบ้านๆเค้าเรียก "โครตตตตตเทพ"

โลกศิลปะที่ผมได้เรียนรู้มา มันเป็นการเสพด้วยประสาทสัมผัสทั้งหลาย ไม่ว่ามันจะมาในแบบของ รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส สิ่งพวกนี้จะสร้างความรู้สึกให้เราแบบไม่มีเหตุผลเลยครับ อยู่ๆก้อรู้สึก และรับรู้ได้ ในตอนที่ผมอยู่ในซิดนี่ย์ได้มีโอกาสสัมผัสงานศิลปะที่ครบทุกอย่าง ทั้งนี้เพราะเมืองนี้เรียกได้ว่า ผู้คนให้ความสำคัญกับศิลปะ และความสุนทรีย์ทั้งหลาย มากกว่า กรุงเทพเมืองฟ้าเยอะเลยครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่อาหารในร้านอาหารในซิดนี่ย์ นั่นก้อถือเป็นศิลปะแล้วครับการจัดจาน สีของอาหาร ส่วนผสม ทุกอย่างมีความสำคัญหมดและถูก Present ออกมาในจานอย่างลงตัว (ยกเว้นรสชาติครับ เพราะบางร้านรสชาติน้องหมาไม่ทาน แต่คนกลับเยอะ บางร้านครับบางร้าน) และที่สำคัญ คนที่นั่นให้คุณค่ากับศิลปะและตีค่ามันด้วยตัวเงินที่สมเหตุสมผล แม้ว่าศิลปินต่างๆที่อาร์ตๆ หรือ ติสแดกส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนเรื่องเงิน แต่สำหรับมุมมองของผมแล้ว เงิน ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำหรับการพัฒนา ไม่มีเงินก้อซื้อกล้องไม่ได้ ซื้อหนังสืออ่านไม่ได้ ซื้ออะไรอีกหลายๆอย่างไม่ได้ สุดท้ายก้อต้องไปทำงานอย่างอื่น ถูกไหมๆ

ผมเจออะไรๆที่แตกต่างพอสมควรซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ดี และเป็นการเริ่มต้นการได้รู้จักศิลปในอีกมุมมองหนึ่ง
เป็นการทำให้ผมกล้ากดชัตเตอร์ด้วยความภูมิใจว่ามันสามารถเลี้ยงปากท้องผมได้บ้าง อย่างน้อยก้อมากกว่าอยู่เมืองไทย เพราะผมไม่ใช่ระดับโครตเทพ ที่อยู่เมืองไทยแล้วหาเงินจากการถ่ายรูปได้เยอะๆ
และสุดท้ายพอเวลาผ่านไป ผมพบว่า "ผมรักมันว่ะ""โครตมีความสุขเลย"
ผมเริ่มที่จะตอบคำถามที่ผมสงสัยมานานให้กับตัวเองได้บ้างแล้วว่า มือผม มีไว้เพื่ออะไร มีไว้ทำอะไร


PS.มีคำถามไหมครับว่า "ผมนี่มันใครวะ"

What da Art !!??!!


Fashion for Glory Land


Atom08
เมื่อก่อนตัวผมคิดเสมอว่าการจะเก่งการถ่ายรูปหรือการจะเก่งศิลปะ ต้องขยันฝึกฝนและทำความเข้าใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆๆๆๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วศิลปะ แตกต่างกับการกีฬา การกีฬาจะเก่งได้ต้องเกิดจากการฝึกฝน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อนำมาซึ่งชัยชนะ แต่ศิลปะไม่ได้ต้องการชัยชนะ
ชัยชนะไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพาะก่อนจะเกิดชัยชนะผู้นั้นต้องฝึกฝน อดทน และเจอสิ่งต่างๆมากมาย รวมถึงความพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้ก้อสอนอะไรคนเราอีกมากมายเช่นกัน

กลับมาที่ศิลปะ ศิลปะไม่ได้ต้องการชัยชนะหากแต่ศิลปะเป็นการให้ ให้ความสุขแก่ผู้พบเห็นเป็นการสร้างความสุขแก่ผู้สร้างและผู้ที่ได้รับ
การจะเก่งในงานศิลปะไม่ใช่เกิดจากการฝึกฝนหรือฝึกซ้อมเท่านั้น สิ่งสำคัญในการสร้างงานศิลปะที่ดีคือการพัฒนาจิตใจ  จิตใจจะเป็นสิ่งที่ทำให้งานศิลปะมีคุณค่า ความลึกซึ่งของจิตใจนี่แหละเป็นตัวแปรสำคัญของงานศิลปะ เราต้องเข้าใจคุณค่าในตัวมัน เมื่อเข้าใจในสิ่งนั้น ความเก่งกาจที่เราตามหา จะกลายเป็นเพียงอัตตาที่มาขวางกั้นเรา ดังนั้นถ้าไม่มีการพัฒนาจิตใจให้เข้าใจในสิ่งต่างๆมากขึ้น อัตตาจะคุกคาม ศิลปะจะไม่ใช่ศิลปะเราจะมองข้ามสิ่งสำคัญไปมากมาย
ศิลปะไม่ใช่ว่าไม่ต้องการองค์ความรู้ หากแต่จะต้องรู้ให้ลึกว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ยังไง เวลาไหน และเลือกใช้สิ่งไหนนั่นแหละสำคัญ
ความรู้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลาและขาดไม่ได้ แต่ความรู้ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้งานศิลปะออกมาดี สวยงาม และมอบความสุขให้กับผู้อื่นได้
การเข้าใจโลก การเข้าใจผู้อื่นและการเข้าใจตนเอง ก้อเป็นเรื่องสำคัญและเป็นหนึ่งในอีกหลายๆปัจจัย ในการสร้างงานที่มีคุณค่า

 

Labels

Site Info

Followers

Nut_Sunday Copyright © 2009 BeMagazine Blogger Template is Designed by Blogger Template
In Collaboration with fifa